หากเรามองจาก ท้องฟ้า เราจะเห็น สิ่งที่เคลื่อนไหว ภายใต้ ของความคิดเรา ถ้าเรามองขึ้นไปจากใจเรา เราจะเห็น ทุกชีวิต กำลังดิ้นรน เพื่อ แสวงหา อาหาร เพื่อ หล่อเลี้ยง ชีวิตของตนเอง และ สิ่งที่ตนรัก และเป็นที่รัก ของตนเอง และแล้ว ทุกชีวิต ก็ พบว่า ความกระหายใคร่ ได้ ใคร่มี ใคร่เป็น หรือ ความทะยานอยาก นี่เอง ที่เป็นสาเหตุ ให้มนุษย์ ต้องเดินทางอยู่ ตลอดชีวิต ลองหยุดเดินทางด้วยยานพาหนะ แล้วหันมาเดินทาง ด้วยจิตวิญญาณ แล้วการ เดินทางไกล จะใกล้เข้าทุกขณะจิต หายใจเข้า ตามรู้ หายใจออก ตามรู้
วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาท่านอาจารย์มากครับ ที่ให้โอกาส สมาธิที่สำคัญที่ต้องเรียนให้ได้ ถ้าจะเอามรรคผลในชีวิตนี้ สมาธิที่จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู...เป็นคนดู จิตเป็น Observer เป็นคนดู ดูอะไร ... ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงาน ดูเพื่ออะไร ... เพื่อจะได้เห็นความจริง...กายนี้ไม่ใช่เรา ใจที่ทำงานอยู่นี้ไม่ใช่เรา จิตที่เป็นคนดูอยู่นี้ก็ไม่ใช่เรา ... ไปดูให้เห็นความจริงตรงนี้ วิธีที่ให้เกิดสมาธิชนิดที่ให้จิตตั้งมั่น เราต้องรู้ก่อน สิ่งที่ตรงข้ามกับจิตที่ตั้งมั่น คือจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่าน คือจิตที่วิ่งไปวิ่งมา วิ่งหลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปคิด หนีไปหนีมาตลอดเวลา... ลองห้ามไม่ให้จิตมันคิด... สังเกตุไหม๊จิตมันคิดได้เอง เราไม่ห้ามมัน จิตที่มันคิดไป จิตมันฟุ้งซ่าน อันนี้ฟุ้งซ่านไปทางใจ ไปคิด.. เวลาที่เราเห็นรถชนกัน จิตมันจะวิ่งไปดู ไปสนใจ อาศัยลูกกะตาเป็นเครื่องมือให้จิตออกไปดูรถที่ชนกัน สนใจๆ อีกฝั่งหนึ่ง รถไม่ได้ชนกัน รถก็ติดเหมือนกัน เพราะทุกคนส่งใจไปดูรถที่ชนกัน... ขณะนั้นมีร่างกายลืมร่างกาย มีจิตใจลืมจิตใจ เพราะอะไร จิตของเราวิ่งไปดู มันหลงไปดู บางทีก็หลงไปฟัง บางทีก็หลงไปคิด สลับไปสลับมาเรื่อยๆ จิตนั้นหลงไปได้ 6 ช่องทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ...หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย... หลงไปคิดนึกทางใจ...ที่เกิดบ่อยคือหลงไปคิดทางใจ การที่จิตหลงไปทางทวารทั้ง 6 มันเกิดจากความฟุ้งซ่านทางจิต เป็นกิเลสตัวหนึ่ง อยู่ในตระกูลโมหะ ตระกูลหลง หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปคิดนั่งเอง กิเลสเป็นศัตรูของสติ... เมื่อใดมีสติเมื่อนั้นไม่มีกิเลส เมื่อใดมีกิเลสเมื่อนั้นไม่มีสติ... ต่อไปนี้เราคอยมีสติรู้ทันจิตที่หลงไป... รู้ทันใจที่หลงไป... ใจหนีไปคิดรู้ทัน... ใจหนีไปคิดรู้ทัน วิธีที่จะซ้อมให้รู้ได้ไว ทำกรรมฐานเสียอย่างหนึ่ง.. ถนัดพุทโธใช้พุทโธ ...ถนัดรู้ลมหายใจก็หายใจไป ...ถนัดดูท้องพองยุบก็ดูไป ...แต่ดูแล้ว ไม่ใช่ไปดูลม ดูท้อง ดูมือดูเท้าอะไรทั้งสิ้นนะ... ดูแล้วคอยรู้ทันจิต... เช่น พุทโธ พุทโธ จิตหนีไปคิดรู้ทัน... พุทโธ พุทโธ จิตสว่างว่างขึ้นมารู้ทัน... รู้ลมหายใจจิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตไหลไปอยู่กับลมหายใจรู้ทัน (ถ้าจิตไหลไปอยู่ในลม=ขาดสติ/หลงอยู่กับลม) เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทันจิตที่เคลื่อน จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตคอยไปจ้องอยู่ที่อารมณ์กรรมฐานของเรารู้ทัน... ฝึกอย่างนี้ วันหนึ่ง 15 นาที ขอ 15 นาทีเท่านั้น อย่าเกิน ถ้าเกินแล้ววันที่ 2 จะไม่ทำ ค่อยๆ ทำ วันละนิดๆหน่อยๆ อย่าเอาเยอะ อย่าโลภ แต่ว่าทำให้ได้ทุกวัน แต่ถ้าวันหนึ่งตั้งใจฝึกหลายชั่วโมง มันตั้งใจได้วันที่ 1 /3ชั่วโมง วันที่ 2 / 2ชั่วโมง จะลดลงมาอย่างนี้เรื่อยๆสุดท้ายเลิก... วันหนึ่งทำนิดเดียว 10 นาที 15 นาที ...ไหว้พระสวดมนต์ 2-3 นาทีพออย่าไหว้ยาว ....ถ้าจะไหว้ยาวก็อาศัยการสวดมนต์เจริยสติไปเลย สวดมนต์ไป แต่ถ้าใจหนีไปที่อื่นรู้ทัน อย่างนี้ก็ยังใช้ได้ หรือสวดมนต์ไปเห็นปากมันพะงาบๆอยู่ สวดไปใจหนีไปที่อื่นแล้วรู้ทัน ถ้าอย่างนี้ก็ใช้ได้ แต่ถ้าสวดแล้วเคลิ้ม ปลื้มอยู่อย่างนั้น อย่างนี้ไม่พัฒนา พัฒนาช้า เพราะฉะนั้น...ทำกรรมฐานซะอย่างหนึ่ง...แล้วรู้ทันจิต ไม่ใช่ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเพื่อให้จิตสงบ.. จำตรงนี้ให้ดี... ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเพื่อให้รู้ทันจิต ไม่ใช่ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเพื่อให้จิตสงบ เช่น พุทโธ ไมใช่เพื่อให้จิตสงบ แต่พุทโธเพื่อจะรู้ทันจิตเวลามันหนีไปจากพุทโธ รู้ลมหายใจไม่ใช่เพื่อความสงบ แต่เพื่อจะรู้ทันจิตเวลามันหนีไป...หนีไปไหนได้บ้าง...หนีไปอยู่กับลมหายใจ หรือหนีไปคิดเรื่องอื่น หนีได้หลายแบบ ดูท้องพองยุบนี่ จิตหนีไปคิดก็ได้ จิตไหลไปอยู่ที่ท้องก็ได้ เดินจงกลมยกเท้าย่างเท้า จิตหนีไปคิดก็ได้ จิตไหลไปอยู่ที่เท้าก็ได้ ให้คอยรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา อย่าไปห้ามมัน ถ้าห้ามจะเครียด ถ้าเครียดไม่ใช่สมาธิที่ดี นี่เป็นสมาธิที่เลวทันทีเลย เพราะความเครียดนี่เกิดจากจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้น
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น