หากเรามองจาก ท้องฟ้า เราจะเห็น สิ่งที่เคลื่อนไหว ภายใต้ ของความคิดเรา ถ้าเรามองขึ้นไปจากใจเรา เราจะเห็น ทุกชีวิต กำลังดิ้นรน เพื่อ แสวงหา อาหาร เพื่อ หล่อเลี้ยง ชีวิตของตนเอง และ สิ่งที่ตนรัก และเป็นที่รัก ของตนเอง และแล้ว ทุกชีวิต ก็ พบว่า ความกระหายใคร่ ได้ ใคร่มี ใคร่เป็น หรือ ความทะยานอยาก นี่เอง ที่เป็นสาเหตุ ให้มนุษย์ ต้องเดินทางอยู่ ตลอดชีวิต ลองหยุดเดินทางด้วยยานพาหนะ แล้วหันมาเดินทาง ด้วยจิตวิญญาณ แล้วการ เดินทางไกล จะใกล้เข้าทุกขณะจิต หายใจเข้า ตามรู้ หายใจออก ตามรู้
วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560
คิดถึงพระพุทธเจ้า ปลอดภัยดี บริกรรม คือ คิดในใจ นึกในใจ ท่องในใจ กำหนดร...อันแรกเริ่ม เดิมความ ตามจิตแท้ จิตนั้นแล เป็นพุทธะ สุขหนักหนา จิตจุติ แต่หนใด ไร้ที่มา จิตนั้นหนา นานนม ตรมฤดี ทุกคราจิต พิสมัย ใคร่กำหนัด ดำเนินพัฒน์ ปัจจัตตัง ตามวิถี อวิชา พามืดบอด อนันตี ทุกชีวี จิตมืดมน นนทกาล อวิชา พาใจ ให้ยืดสุข แต่ลืม ทุกข์คู่ กันไป ในแก่นสาร มิอาจแยก จากกันไกล แต่ช้านาน สุขทุกข์พาน พบเจอ เป็นเกลอกัน ทั้งอินทร์ พรหม ยมยักต์ รวมสัตว์โลก เต็มหมื่นโลกธาตุไซร้ ให้โศกสันต์ หลงกันอยู่ในวัตถะ สงสารกัน ทั่วทุกชั้น ยังเวียนสุข ทุกข์กันไป ยังมิอาจ จะตัดภพ และตัดชาติ กิเลสขาด จากดวงจิต สิ้นสงสัย ยัง รับ รู้ จด จำ อุปทานไป สร้างชาติ ภพ ประสบใหม่ ใคร่ยินดี ต้องเร่งศิล สมาธิ และปัญญา ภาวนา ตามหลัก อริยสัจสี่ เจริญธรรม ลงสู่จิต ทั้งอินทรีย์ สิ้นกันที กับกองไฟ ไหม้หัวมา อันว่าธรรมนั้นว่ายาก ก็ยากได้ จะว่าง่าย แสนง่าย ไม่หนักหนา แต่ตัวเรา เขาสัตว์ ยังคณา ว่าเป็นเรา เขา ข้า ชั่งน่ากลัว ยังคงติด ยึดบ่วงกรรม ดำกิเลส ทุกประเทศ เพศ ภพ ประสบทั่ว โอกาสดี มีชัย จงเตรียมตัว พบผู้สอน ให้ละชั่ว พึงกราบกราน อันว่ามีด เหล็กหนา พาเห็นแน่ แต่เบื้องแท้ ที่มา น่าสงสาร ต้องทนร้อน ทนทุบ อยู่ช้านาน ทั้งไฟผลาญ หินฝน จนได้คม จะหลุดได้ พ้นได้ ต้องสลัด ต้องพานพลัด พลาดอยาก มากขื่นขม ต้องทิ้งละ โกรธ โลภ และหลง ตรม อีกทั้งปลง ในวัฎฏะ ไตรลักษณ์กัน จะได้มา ซื่งหลุด พ้นกิเลส มิเหลือเศษ เหลือหลง ให้โศกสันต์ ใช้ปัญญา พิจารณา ให้เร็วพลัน ชีวานั้น ใช่ยืด และยืนนาน กิเลสดุจ ไปกราน ผลาญศรีษะ เมื่อไหลหละ จะดับไป ในสังขาร ดับวันนี้ วันไหน อย่าช้านาน พอถึงกาล เวลาหมด ชดใช้กรรม ทางสายกลาง ทางเดียวไหน ให้รู้แน่ ธรรมแท้แท้ แน่นหนัก ละโศกสันต์ คือธรรมที่ ชี้ทาง สว่างพลัน มิเกิดกัน อีกอยู่ ทุกผู้ตน จงเบื่อหน่าย คลายเมา ในกิเลส ปฏิเสธ ยึดติด มีสิทธิ์ขน ว่าตัวกู ของกู เป็นของตน เวลาป่น เป็นธุรี ขี้เถ้าใคร ไม่ขนแบก แอกหนัก สรรพสิ่ง ให้ประวิง หวาดหวั่น พลันสั่นไหว ขนาดตัว ของตัวเอง ยังบรรลัย เกิด แก่... ตาย แปรไป ตามเวลา แม้แต่ธรรม ความรู้ ก็อยากแบก ให้ละแยก นิวรไป อย่าถือสา ประตูโลก พระนิพพาน สราญตา ยังเล็กกว่า ผ่าเกสา ถึงสามที อันบึงเล็ก บึงใหญ่ ต่างสันฐาน ลึกประมาณ โคลนตม สมวิถี มีแต่สิ่ง ปฏิกูล ถมทวี ในน้ำมี ทั้งเพทภัย ให้พบพา เปรียบดั่ง โลกธาตุใหญ่ ใส่กิเลส มีสาเหตุ ให้ดึงฉุด ทรุดหนักหนา ฝังบัวน้อย เหง้าลึก สุดคณา กว่าจะเกิด ผุดขึ้นมา แต่ช้านาน อันผลบ่วง ห่วงกรรม ชักนำจิต ตนมีสิทธิ ที่จะทำ นำสังขาร ให้ดอกลึก ดอกตื้น หรือพ้นพาน จากหมู่มาร ที่พานพบ ประสบกัน กว่าจะได้เป็น บัวเหล่า เถาที่หนึ่ง ต้องผ่านซึ่ง ทุกข์ทน ปนทั้งนั้น สะสมบุญ บารมีกัน แต่นานวัน ตัวเรานั้น ถือโชคดี ที่เกิดมา ได้พานพบ พุทธศาสตร์ สรนะแท้ น้อยกว่าแค่ หนึ่งหัวเต่า ในไพรศา พระสมุทร ผุดพลัน โผล่ขึ้นมา ได้พบพา ลอดห่วงพลุ๊ด เข้าพอดี เมื่อเป็นบัว ได้ผุดพ้น พบพุทธศาสตร์ อภิวาท วันทา เหนือเศียรศรี ปวารณา ไตรสรณะ ขณะมี ประพฤติดี ตามกฏ รสพระธรรม
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น