วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เราจะอยู่กับศีลอย่าประมาทกิเลสเล็กน้อยผิดศีลได้เริ่มจากกิเลสเล็กน้อยอย่าประมาทกิเลสเล็กๆน้อยๆ ผิดศีลได้เริ่มจากกิเลสเล็กน้อยนี่เอง คือการพัฒนาคุณภาพของจิตใจเราทิ้งหลักของ”ไตรสิกขา”ไม่ได้ ถ้าทิ้งหลักไตรสิกขาละก็ ไม่ใช่ชาวพุทธแท้หรอก ไตรสิกขาคือเรื่องศีลสิกขา เรื่องจิตสิกขา เรื่องปัญญาสิกขา เราจะเรียนเรื่องศีล เรียนเรื่องจิต เรียนเรื่องการเจริญปัญญา ศีลในเบื้องต้นเนี่ยต้องเจตนา งดเว้นการทำบาปอกุศลทางกายทางวาจาไว้ก่อน เบื้องต้นต้องตั้งใจงดเว้นไว้ก่อน ต่อมาเรามาฝึกอาศัยสตินี่แหล่ะ คอยรู้ทัน ใจมันทำผิดศีลได้นะเพราะกิเลสมันครอบงำจิต ให้เราคอยรู้ทันจิตไว้ กิเลสอะไรเกิดขึ้นเรารู้ทัน กิเลสอะไรเกิดรู้ทันนะ กิเลสจะครอบงำไม่ได้ อย่างโทสะเกิดเนี่ยรู้ทันมัน โทสะครอบงำจิตไม่ได้ มันไม่ฆ่าใครไม่ตีใครไม่ด่าใครไม่เบียดเบียนใคร ราคะเกิดขึ้นเรามีสติรู้ทันไม่ครอบงำจิต เราก็ไม่ไปลักใครขโมยใครไม่เป็นชู้กับใคร ไม่ปลิ้นปล้อนตลบแตลงล่อลวงเค้า เนี่ยกิเลสทั้งนั้นเลยนะ คนทำผิดศีลได้เพราะกิเลสครอบงำจิตได้ กิเลสเล็กกิเลสน้อยก็อย่าไปไว้ใจมันนะ อย่ามีข้อยกเว้นแก่กิเลส บางคนเห็นว่ากิเลสเล็กๆน้อยๆไม่เป็นไร แรกๆไม่เป็นไรนะ ตัวเล็กไม่เป็นไรต่อไปตัวกลางๆก็ไม่เป็นไรเหมือนกันนะ สุดท้ายตัวใหญ่ๆก็ไม่เป็นไร อย่างตอนเด็กๆหัดรังแกสัตว์ตัวเล็กๆก็รังแกสัตว์ตัวใหญ่ได้มากขึ้นๆ สุดท้ายมันก็แกล้งคนได้ ฆ่าคนได้ ใจมันเคยชินที่จะเบียดเบียน นั้นเรามีสตินะ รักษาจิตไว้ให้ดี อย่าให้กิเลสครอบงำจิตได้ คอยรู้ทันมันเข้าไป ศีลมันจะเกิดขึ้น พอจิตเรามีศีลเนี่ยสมาธิจะเกิดง่าย คนที่ไม่มีศีลนะจะฟุ้งซ่าน ฟุ้งไปในกาม ฟุ้งไปในความไม่พอใจ กามและปฏิฆะมายั่วจิตให้ฟุ้งไป เดี๋ยวก็อยากดู เดี๋ยวก็อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากได้รส ถ้าเรามีสติคุ้มครองจิตอยู่ กิเลสมันครอบงำจิตไม่ได้ กิเลสหยาบๆนะครอบงำไม่ได้ สติปัญญาเร็วขึ้นๆนะ ต่อไปกิเลสอย่างกลางก็ครอบงำจิตไม่ได้ กิเลสอย่างหยาบเนี่ยเอาศีลกั้นไว้ ราคะ โทสะ โมหะแรงๆเกิดขึ้นนะ จะทำผิดศีลไม่ทำ ตั้งใจงดเว้นไม่ทำ ทุกวันต้องคิดว่าเราจะรักษาศีลตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาทุกวัน.. .ถ้าจิตเราเป็นกลาง เราไม่ได้มุ่งพุทธภูมิ เราไม่ได้ทำกรรมชั่วหยาบมา จิตเราจะก้าวกระโดดเกิดอริยมรรคขึ้นมา ขั้นแรกมันจะรวมลงก่อน รวมเข้า อัปปนาสมาธิ รวมเองโดยที่ไม่ได้เจตนาจะรวม ไม่ได้คิดได้ฝันที่จะรวม รวมโดยอัตโนมัติ เมื่อรวมลงมาแล้วจะเห็นสภาวธรรมเกิดดับ เกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ถัดจากนั้นจิตจะวางการรับรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ เมื่อทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังจิตอยู่คือ อาสวกิเลส ทั้งหลาย สังโยชน์ทั้งหลายถูกขาดสะบั้นออกไปด้วยกำลังของอริยมรรค นิพพานก็จะปรากฏเด่นดวงขึ้นมาให้เรารู้สึกได้ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง คนไหนซึ่งอินทรีย์ไม่แก่กล้ามาก ตอนที่จิตรวมไปทีแรก เห็นสภาวธรรมก็จะเห็นสามครั้ง แล้วพอเห็นนิพพานพอได้ผลจะเห็นสองขณะ แต่คนที่อินทรีย์แก่กล้าเห็นสภาวะทีแรกจะเห็นสองขณะ และจะมาเห็นนิพพานสามขณะ เห็นยาวต่างกัน อินทรีย์ไม่เท่ากัน ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เท่ากัน ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกจาก อัปปนาสมาธิ นะ ถอยเอง ถัดจากนั้นไม่ทรงอยู่แล้วจะถอยออกมา พอถอยออกมาแล้วจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ก็แจ่มแจ้งแล้วว่า เมื่อกี้นี้ตัวตนอะไรไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกเลย แต่ว่ากิเลสยังเหลืออยู่อีกเพียบเลย พระโสดาบันกับปุถุชนแทบจะไม่มีอะไรต่างกันนะ พระโสดาบันละมิจฉาทิฏฐิได้เท่านั้น ละความเห็นผิดได้ ส่วนโลภ โกรธ หลงอื่นๆ เหมือนปุถุชนนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น