หากเรามองจาก ท้องฟ้า เราจะเห็น สิ่งที่เคลื่อนไหว ภายใต้ ของความคิดเรา ถ้าเรามองขึ้นไปจากใจเรา เราจะเห็น ทุกชีวิต กำลังดิ้นรน เพื่อ แสวงหา อาหาร เพื่อ หล่อเลี้ยง ชีวิตของตนเอง และ สิ่งที่ตนรัก และเป็นที่รัก ของตนเอง และแล้ว ทุกชีวิต ก็ พบว่า ความกระหายใคร่ ได้ ใคร่มี ใคร่เป็น หรือ ความทะยานอยาก นี่เอง ที่เป็นสาเหตุ ให้มนุษย์ ต้องเดินทางอยู่ ตลอดชีวิต ลองหยุดเดินทางด้วยยานพาหนะ แล้วหันมาเดินทาง ด้วยจิตวิญญาณ แล้วการ เดินทางไกล จะใกล้เข้าทุกขณะจิต หายใจเข้า ตามรู้ หายใจออก ตามรู้
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2560
คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้ ปลอดภัยดีพระพุทธเจ้าบอก ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสติปัฏฐาน โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์พระอรหันต์คือพวกไหนพระอรหันต์ คือ ท่านผู้ซึ่งไม่ยึดถือในรูปนาม/ขันธ์ ๕ ไม่ยึดถือสิ่งใดอีกแล้วทำไมท่านไม่ยึดถือเพราะท่านได้เจริญสติปัฏฐานท่านมีสติรู้สึกกาย ท่านมีสติรู้สึกจิตใจอยู่เรื่อยนะจนเห็นความจริงเลย ร่างกายไม่ใช่เราความสุข-ความทุกข์ ไม่ใช่เรา กิเลส ไม่ใช่เรา จิตใจ ก็ไม่ใช่เรา อะไรๆ ก็ไม่ใช่เราไปหมดเนี่ยท่านก็ภาวนาไปเรื่อย เบื้องต้นจะเห็นว่า มันไม่ใช่เรานะ ได้พระโสดาบันเบื้องปลายจะเห็นเลยว่า ตัวที่มันไม่ใชเรา มันเป็นอะไร..?มันเป็นตัวทุกข์กายนี้ เป็นตัวทุกข์ เวทนา เป็นความสุข-ทุกข์ เป็นตัวทุกข์สังขาร ก็เช่นกิเลสทั้งหลาย เป็นตัวทุกข์จิต ที่ไปรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นตัวทุกข์ ถ้าเห็นได้ถึงขนาดนี้ จิตจะสลัดคืนจิตให้โลกแล้วก็จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงสิ่งที่เรายึดถือเหนียวแน่นที่สุด ก็คือจิตของเราสิ่งที่เราสำคัญมั่นหมายเหนียวแน่นว่า เป็นตัวเรามากที่สุด ก็คือจิตนี่เองจิตนี้เป็นที่ตั้งเลย เป็นตัวใหญ่ เป็นตัวหลักเลยถ้าเราไม่เห็นว่า จิตเป็นตัวเราก็จะไม่เห็นว่า สิ่งใดในโลกเป็นตัวเราถ้าเห็นความจริงแล้วว่า จิตเป็นตัวทุกข์ในโลกนี้จะเป็นตัวทุกข์ทั้งหมดเลยแล้วจิตตัวเดียวนี้เองถ้าเรารู้แจ่มแจ้ง ความพ้นทุกข์ก็จะเกิดขึ้น สลัดคืนจิตให้โลกได้เมื่อไหร่นะที่สุดแห่งทุกข์ก็อยู่ตรงนั้นแหละมันสลัดได้จริงๆนะแต่ถ้าพวกเราหัดใหม่ๆ มันยังไม่สลัดคืนจิตให้โลกมันสลัดอารมณ์ได้ ใครเคยเห็นบ้างว่าจิตปล่อยอารมณ์ได้ ยกมือให้หลวงพ่อดูซิพวกที่ฟังหลวงพ่อมาแล้ว ยกสูงๆหน่อยก็พอสมควรนะเห็นมั้ย จิตกับอารมณ์ บางทีมันก็เข้าไปจับ ใช่มั้ยบางทีมันก็ปล่อย บางทีมันก็จับ บางทีมันก็ปล่อยใครเห็นแบบนี้บ้าง ยกมือซิ มีมั้ย..?ก็เยอะแล้วนะไปหัดดูนะ สุดท้ายจะรู้เลย จิตมันจะเข้าไปจับอารมณ์ มันก็จับได้เองจะปล่อยอารมณ์มันก็ปล่อยได้เอง นี่แค่ปล่อยอารมณ์สังเกตมั้ยพอจิตปล่อยอารมณ์ได้ มีความสุขเยอะแยะเลย สบายขึ้นเยอะเลย ลองงคิดดูสิ ถ้าจิตมันปล่อยขันธ์ได้ มันจะสุขขนาดไหน นี่แค่ปล่อยอารมณ์นะถ้าจิตมันปล่อยตัวมันเองได้มันจะสุขมหาศาลขนาดไหนมันสุข เรียกว่า สุขปางตายเลยนะในขณะที่อริยมรรค อริยผลเกิดขึ้นนั้น เป็นความสุขที่มหาศาลจริงๆเลยงั้นพวกเราต้องฝึกนะ สรุปให้ฟัง เอาง่ายๆ เลยนะเบื้องต้น ตั้งใจรักษาศีล ๕ ไว้ก่อน ศีล ๕ เป็นมาตรฐานขั้นต่ำของมนุษย์ถ้าเสียศีล ๕ ไป จิตใจจะฟุ้งซ่านอันที่ ๒พยายามฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวทำกรรมฐานขึ้นสักอย่างหนึ่งช่วงไหนที่จิตใจว้าวุ่นมาก ก็ให้จิตไปจับอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน เรียกว่าทำสมถะช่วงไหน จิตใจสงบพอสมควรแล้วก็ค่อยๆฝึก แยกไปนะ เห็นว่า ร่างกาย ก็เป็นของที่จิตไปรู้เข้า อะไรๆ ก็เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ค่อยๆฝึกไปเรื่อยนะจิตใจมันจะเป็นคนดูออกมานะค่อยๆ แยกขันธ์ไปเรื่อย ฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวด้วยการรู้ทันว่า จิตมันเคลื่อนไปเคลื่อนไปคิด เคลื่อนไปเพ่งอารมณ์ถ้ารู้ทันว่า จิตมันเคลื่อนไป จิตจะตั้งมั่นสรุปนะ อีกทีข้อ ๑. รักษาศีล ๕ ไว้ข้อ ๒. ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวใจลอยไปแล้วรู้ ใจลอยไปแล้วรู้ ฝึกอย่างนี้นะแต่ถ้าวันไหนจิตมันฟุ้งซ่านมาก ก็เอาจิตเข้าไปจับอารมณ์ให้นิ่งๆไปเลย พักผ่อน(ทำสมถกรรมฐาน)ถ้าวันไหนมีแรง เอาแค่ว่า ใจลอยแล้วรู้ ใจลอยแล้วรู้ไปเรื่อยนะ ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งนะ พุทโธไป หายใจไป แล้วใจลอยไป แล้วรู้ ใจเคลื่อนไปเพ่งลมหายใจ ก็รู้ใจเคลื่อนไปเพ่งท้อง เพ่งเท้า ก็รู้เนี่ย รู้อย่างนี้เรื่อยๆ ในที่สุดจิตใจจะตั้งมั่น จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัวข้อ ๑. รักษาศีล ๕ ข้อ ๒. ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวพอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วข้อ ๓. ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงานดูด้วยจิตที่เป็นคนดูนี่แหละ จิตใจที่อยู่กับเนื้อกับตัวนี่แหละเห็นร่างกายมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเห็นจิตใจมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายคอยดูความเปลี่ยนแปลงของกายของใจให้มากนะดูไป ดูไปจนจิตมันหมดแรงแล้ว ถ้าจิตมันหมดแรงนะ ดูจิตไม่ไหว ให้ดูกายดูจิตก็ไม่ไหว ดูกายก็ไม่ไหว ทำสมถะน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ให้จิตได้พักผ่อน มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาใหม่พอจิตมีแรงขึ้นมาใหม่ กลับมาดูจิตอีก... ดูจิตได้.. ให้ดูจิต... ดูจิตไม่ได้.. ให้ดูกาย... ดูจิตก็ไม่ได้ ดูกายก็ไม่ได้... ก็ทำความสงบไว้ (ทำสมถะ). เนี่ยฝึกอย่างนี้เรื่อยๆนะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เราควรจะได้อะไรบ้างคนที่เรียนกับหลวงพ่อนะเดือนสองเดือน แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไปตั้งมากมายแล้ว เคยทุกข์มากก็ทุกข์น้อย เคยทุกข์นานก็ทุกข์สั้นๆอยู่ที่พวกเรานะว่า เราจะให้โอกาสกับชีวิตตัวเองรึเปล่าหรือเราจะปล่อยชีวิตตามยถากรรม เหมือนที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปีสุดท้ายมันก็หมดไป โดยที่ไม่ได้อะไรติดเนื้อติดตัวไปแต่ถ้าเราหัดเจริญสติ ตั้งแต่วันนี้นะถ้าบุญกุศลเราพอ บุญบารมีเราสร้างมาพอแล้วเราอาจจะได้มรรคผลในชีวิตนี้ชีวิตเราจะไม่ตกต่ำอีกแล้ว ถ้าเกิดเรายังไม่ได้มรรคผลในชีวิตนี้ชาติต่อๆไป เราจะภาวนาง่ายสติ สมาธิ ปัญญาอะไร มันจะเกิดง่ายเลยเพราะมันเคยฝึกอะไรที่ไม่เคยฝึก ไม่เคยทำ มันยากทั้งนั้นแหละอะไรที่เคยฝึกแล้ว ทำแล้วนะ มันคุ้นจนชิน มันก็ง่ายไปหมดแหละนะ/|\ /|\ /|\#หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 12 มีนาคม 2556
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น