หากเรามองจาก ท้องฟ้า เราจะเห็น สิ่งที่เคลื่อนไหว ภายใต้ ของความคิดเรา ถ้าเรามองขึ้นไปจากใจเรา เราจะเห็น ทุกชีวิต กำลังดิ้นรน เพื่อ แสวงหา อาหาร เพื่อ หล่อเลี้ยง ชีวิตของตนเอง และ สิ่งที่ตนรัก และเป็นที่รัก ของตนเอง และแล้ว ทุกชีวิต ก็ พบว่า ความกระหายใคร่ ได้ ใคร่มี ใคร่เป็น หรือ ความทะยานอยาก นี่เอง ที่เป็นสาเหตุ ให้มนุษย์ ต้องเดินทางอยู่ ตลอดชีวิต ลองหยุดเดินทางด้วยยานพาหนะ แล้วหันมาเดินทาง ด้วยจิตวิญญาณ แล้วการ เดินทางไกล จะใกล้เข้าทุกขณะจิต หายใจเข้า ตามรู้ หายใจออก ตามรู้
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559
จิตใจที่แห้งสนิท สมควรแก่การบรรลุธรรม พระโพธิสัตว์ พุทธภูมิ สาวกภูมิ
สุดท้ายจิตจะรู้เลยว่า มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย
ความปรุงแต่งเกิดขึ้นทีไร ความทุกข์เกิดขึ้นทุกที
ความปรุงแต่งทั้งหลายสงบเสียได้ ความพ้นทุกข์ก็เกิดขึ้น
เคยได้ยินไหม “อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโขฯ”
สังขารทั้งหลายสงบเสียได้เป็นสุข
สังขารเนี่ยทำงาน ไหว วิ้บๆๆๆ ทั้งวันทั้งคืนนะ
วัฏฏะหมุนอยู่ในใจเราเนี่ย วิ้บๆๆๆ ทั้งวันทั้งคืนเลย
เราเฝ้ารู้เฝ้าดูไป อย่าไปเกลียด อย่าไปหนีไป
ถึงหนีมันนะมันก็ยังไหวอยู่อย่างนี้ แต่เราไม่เห็น เราไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ
ไม่หนีมัน ไม่น้อมใจไปว่างๆหนีมัน เห็นไหววับๆๆ ไปอย่างนี้
ถ้าทนไม่ไหวก็ทำความสงบเข้ามา มีกำลังใจมีเรี่ยวมีแรงแล้ว ดูมันอีก
สติมันจะอัตโนมัตินะมันจะเห็นเนี่ย ไหวยิบยับๆ เห็นทั้งวัน มันเห็นทั้งวันเห็นทั้งคืนด้วย
สมาธิ จิตตั้งมันอยู่ อันนี้เป็นสมาธิชนิดจิตตั้งมั่นถึงเห็นมันไหววิบวับ
แล้วเวลาจะพักน่ะ ใช้สมาธิชนิดสงบ คือใช้สมถะ
ไม่ใช่พักด้วยจิตที่ตั้งมั่นนะ แต่พักด้วยจิตที่สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวเป็นที่พัก
งั้นสมถะเอาไว้พักผ่อน พอพักผ่อนพอสมควร
มีเรี่ยวมีแรงสดชื่นแล้วก็มีจิตที่ตั้งมั่นแล้ว ดูธาตุดูขันธ์มันทำงาน
ฝึกจนมันอัตโนมัติไปหมดเลยนะ
สติระลึกถึงความไหวของจิตเนี่ย ทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่เจตนา
จิตก็ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูนะ แถมยังได้รับความชุ่มฉ่ำของสมาธิของสมถะมาช่วยเหลือด้วย
ใจไม่แห้งผากเกินไป ถ้าไม่มีสมถะช่วยด้วยจะแห้ง แห้งสุดขีดเลย แห้งผากเลยนะ
เนี่ยอาศัยสิ่งเหล่านี้นะ ฝึกไปจนเป็นอัตโนมัติ
พอมันอัตโนมัติแล้วคราวนี้เลิกไม่ได้ การปฏิบัตินะหยุดไม่ได้เลิกไม่ได้
แต่พักได้ด้วยสมถะ มีเท่านี้เอง
เนี่ยทำมากเข้าๆ ปัญญามันพอนะ จิตมันรู้แจ้งเลยว่า จิตนี้เป็นทุกข์จริงๆ
จิตนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ มีแต่ความไม่เที่ยง กระเพื่อมไหวอยู่ตลอดเวลา
จิตนี้ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา จิตนี้ทำงานเอง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอะไร
ถ้าได้อย่างนี้ มันรวมเข้ามานะ
ก่อนที่มันจะเข้าใจเนี่ยจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิเลย
ทั้งๆที่ชาตินี้ไม่เคยหัดเข้าฌานเลยนะ เนี่ยหัดเจริญสติอยู่อย่างพวกเราเนี่ย คอยดูไป
ถึงเวลาทำในรูปแบบบ้างอะไรบ้างนะ ทุกวันทำไปเพื่อให้มีแรง
แล้วก็เจริญสติดูกายดูใจมันทำงานไป
พอถึงขั้นละเอียดมันจะถึงความไหว ยิบยับๆในจิตนี่แหละ
ก็ดูไปเรื่อยถึงมันพอนะ จิตจะเข้าอัปปนาสมาธิเอง เข้ารวมมาเองเลย
แล้วมันจะมาตัดกิเลสข้างในใจเรานี้
ถัดจากนั้นออกจากสมาธิมาแล้ว พ้นจากระบวนการของอริยมรรคอริยผลแล้ว
ทบทวนดู กิเลสอะไรล้างแล้ว กิเลสอะไรยังไม่ล้าง
แต่ตอนทบทวนต้องระวังอย่างหนึ่ง
บางคนจิตรวมเข้าสมาธิแล้วมีอาการแปลกๆ นึกว่าเกิดมรรคผล ไม่เกิดนะ
มันเป็นอาการหลอกต่างๆนานาซึ่งเยอะมากเลยที่จะหลอก
พอออกมาแล้วเนี่ย จิตค้างสมาธิออกมาด้วย
ออกจากสมาธิแล้วจิตค้างความนิ่งออกมา จิตจะนิ่งๆ
อย่างสมมุติว่าจิตนิ่งอยู่อย่างนี้ทั้งวันเลย จะไม่มีกิเลสโผล่เลย
แล้วบอกว่าดูแล้วไม่มีกิเลสแล้ว บรรลุแล้ว
ที่จริงไม่ใช่หรอก ไปประคองจิตไว้ ไปรักษาจิตไว้
เมื่อเราไปประคองไว้นะ ไม่มีกิเลสนะ
แต่พอปล่อยเท่านั้นล่ะ กิเลสจะมาเลย
งั้นเวลาจะดูจิตว่าล้างกิเลสหรือยังนะ อย่าประคองจิตให้นิ่ง
อย่าประคองจิตนะ ปล่อยจิตให้เป็นธรรมชาติ สมัยที่ยังภาวนาไม่เป็นอย่างนั้นเลย
ปล่อยให้จิตมันทำงานปกติ
ถ้าเห็นได้อย่างนั้นนะถึงจะดูตัวจริงออกว่ากิเลสนั้นยังมีหรือไม่มี
กิเลสตัวไหนล้างแล้ว ตัวไหนยังไม่ล้าง จะเห็นด้วยตัวเองได้
แต่ถ้าประคองจิตนิ่งๆนะ แล้วก็บอกว่าดูแล้วไม่มี อันนั้นไม่ใช่นะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น