หากเรามองจาก ท้องฟ้า เราจะเห็น สิ่งที่เคลื่อนไหว ภายใต้ ของความคิดเรา ถ้าเรามองขึ้นไปจากใจเรา เราจะเห็น ทุกชีวิต กำลังดิ้นรน เพื่อ แสวงหา อาหาร เพื่อ หล่อเลี้ยง ชีวิตของตนเอง และ สิ่งที่ตนรัก และเป็นที่รัก ของตนเอง และแล้ว ทุกชีวิต ก็ พบว่า ความกระหายใคร่ ได้ ใคร่มี ใคร่เป็น หรือ ความทะยานอยาก นี่เอง ที่เป็นสาเหตุ ให้มนุษย์ ต้องเดินทางอยู่ ตลอดชีวิต ลองหยุดเดินทางด้วยยานพาหนะ แล้วหันมาเดินทาง ด้วยจิตวิญญาณ แล้วการ เดินทางไกล จะใกล้เข้าทุกขณะจิต หายใจเข้า ตามรู้ หายใจออก ตามรู้
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ผู้มีอารมณ์พ้นโลกต่อไปนี้ก็พูดกันถึงในด้าน สกิทาคามี ตอนถึงพระสกิทาคามีนี่ อารมณ์สบายเสียแล้ว เพราะย่ำต๊อกมาจากเอกพิชีหมด ระดับคุณค่าของเอกพิชีพระโสดาบันขั้นเอดพิชีกับพระสกิทาคามีมีค่าเท่ากัน นั่นก็คือ เกิดเป็นเทวดา พรหม 1 ชาติ และก็มาเกิดเป็นมนุษย์เป็นอรหันต์เลย ง่ายนิดเดียว มีค่าเท่ากันเหมือนกัน จะมีอะไรต่างกันตรงไหน แต่ทว่าสำหรับพระสกิทาคามีนี่ มีปัญญาละเอียดขึ้นกว่าพระโสดาบันหน่อยหนึ่ง สำหรับเรื่องศีลนี้ไม่ต้องพูดกัน มั่นคงมาตั้งแต่สัตตักขัตตุง ตอนนี้ทั้งเอกพิชีและสกิทาคามีนี้ เพราะอาศัยอารมณ์ละเอียดมาจากเอกพิชี จึงใช้ปัญญาที่มีความหลักแหลม เพราะอาศัยจิตทรงฌาน 4 คำว่าฌาน 4 มาจากไหน ก็มาจากการพิจารณาขันธ์ 5 พิจารณาศีล พิจารณาโทษของความรัก พิจารณาโทษของความโลภ พิจารณาโทษของความโกรธ พิจารณาโทษของความหลง เมื่อจิตมีอารมณ์เงียบเยือกเย็นลง จิตก็ก้าวเข้าไปสู่ถึงฌานสมาบัติทีละน้อยละน้อย โดยที่ไม่ต้องไปนั่งฝึกให้มันมีอาการเคร่งเครียด อารมณ์สมาธิกับวิปัสสนาญาณคือ ใช้อารมณ์พิจารณาสังโยชน์ 3 ประการ หรือโดยเฉพาะพิจารณาโทษของความรักในระหว่างเพศ การมีคู่ครอง เห็นว่า รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หาสาระประโยชน์ไม่ได้ ไม่มีการทรงตัว และประการที่ 2 ทรัพย์สินทั้งหลาย ไม่มีใครสามารถจะแบกจากโลกอื่นได้ ตาย…ทำเสียเกือบตาย เหน็ดเหนื่อยเกือบตาย ตายแล้วก็หมดสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ที่จะครอง แม้แต่ร่างกาย เรื่องของความโกระนี้ไซร้เป็นปัจจัยยั่วให้เกิดความทุกข์ ไม่มีความสุข ไม่มีความปรารถนา และก็เป็นอันว่า ถ้าจิตเราจะหลงร่างกายกายานี้ มันก็ไม่เป็นประโยชน์ มันก็จะถูกทำลายอยู่ทุกขณะ ในที่สุดก็สลายตัวไป อารมณ์รักในกายมันก็เบา รักกายเรามันเบารักกายคนอื่นก็เบา เห็นโทษของการครองคู่ อยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยา ตอนนี้ระวังให้ดีนะ ถ้ามีสามีภรรยาและก็บางทีเขาคิดว่านอกใจเขา นาน ๆ จะมีความรู้สึกสักครั้ง แล้วก็หายเร็ว นี่เป็นเรื่องของพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีมีอารมณ์ละเอียดจิตเข้าถึงฌาน 4 เห็นโทษของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือ รูปสวยไม่จริง ปัญญามาก เสียงเพราะไม่จริง รสอร่อยก็ไม่จริง กลิ่นหอมก็ไม่จริง สัมผัสที่เกิดประโยชน์ก็ไม่จริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้สร้างความอิ่ม มันสร้างความหิว มาในด้านของความโกรธก็ไม่มีความหมาย จะยึดถือร่างกายก็ไร้ประโยชน์ แต่ว่าจิตระวังมีจิตตัวหนึ่ง ที่เขาเรียกว่ากิเลสที่เป็นอนุสัย ท่านที่มีกำลังใจเข้าถึงพระสกิทาคามีนี่ เห็นโทษของกามคุณมาก เห็นโทษของความโลภมาก เห็นโทษของความโกรธมาก เห็นโทษของขันธ์ 5 มาก จนกระทั่งมีอารมณ์ละเอียด ดับสนิท ความคิดจะรักในระหว่างเพศไม่มี เฉย ๆ แล้วก็ความโลภโมโทสัน อยากจะร่ำรวยมันไม่มี เฉย ๆ สบาย ๆ และความโกรธคิดประทุษร้ายเขาไม่มี มันจะเป็นยังไงก็ช่าง ด่าก็ช่าง ว่าก็ช่าง เฉย ๆ สบาย ถ้าจิตจะติดกายติดใจของเรามันไม่มี มันไม่มีเป็นส่วนมาก แต่บางขณะมันมีเพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งหมดที่กล่าวมานี่ มันเป็นอนุสัย มันมีความละเอียดคล้ายกับตะกอน น้ำที่มีตะกอน ถ้าเอาสารส้มไปแกว่งมันไปนอนอยู่ในตุ่ม ตะกอนมันขุ่นก็จริงแหล่ แต่ทว่ามันไม่มากวนน้ำ น้ำใสสะอาดใจโปร่ง ตะกอนเหล่านั้นเหมือนกิเลส ใจเหมือนกับน้ำที่ถูกสารส้มแกว่งแล้ว แต่ทว่าในบางขณะที่จิตมีอารมณ์ละเอียด มีจิตสบายมีอารมณ์เป็นสุขไม่ว้าวุ่นกับอะไร บางครั้งความรู้สึกความพอใจในเพศ ความพอใจในทรัพย์สิน คิดว่าใครเขาว่าเราประทุษร้ายให้เราเจ็บใจ มันเกิดขึ้นมานิดหนึ่ง มันกระตุ้นจิตขึ้นมานิดกหนึ่ง แล้วก็สลายตัวไปโดยฉับพลันอย่างนี้เป็นอาการของพระสกิทาคามี เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับเวลาที่จะพูดกันมันก็หมดเสียแล้ว หวังว่าบรรดาท่านทั้งหลายคงมีความเข้าใจ เพราะมันเป็นของไม่ยาก ต่อแต่นี้ไปขอสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จงตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าเวลานั้นท่านจะเห็นว่าเป็นการสมควรสำหรับท่าน สวัสดี
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น