หากเรามองจาก ท้องฟ้า เราจะเห็น สิ่งที่เคลื่อนไหว ภายใต้ ของความคิดเรา ถ้าเรามองขึ้นไปจากใจเรา เราจะเห็น ทุกชีวิต กำลังดิ้นรน เพื่อ แสวงหา อาหาร เพื่อ หล่อเลี้ยง ชีวิตของตนเอง และ สิ่งที่ตนรัก และเป็นที่รัก ของตนเอง และแล้ว ทุกชีวิต ก็ พบว่า ความกระหายใคร่ ได้ ใคร่มี ใคร่เป็น หรือ ความทะยานอยาก นี่เอง ที่เป็นสาเหตุ ให้มนุษย์ ต้องเดินทางอยู่ ตลอดชีวิต ลองหยุดเดินทางด้วยยานพาหนะ แล้วหันมาเดินทาง ด้วยจิตวิญญาณ แล้วการ เดินทางไกล จะใกล้เข้าทุกขณะจิต หายใจเข้า ตามรู้ หายใจออก ตามรู้
วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560
จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ ท่านอย่าประทุษร้ายจิตอรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๕ ๗. อนูปมเถรคาถา อรรถกถาอนูปมเถรคาถา คาถาของท่านพระอนูปมเถระ เริ่มต้นว่า นนฺทมานาคตํ จิตฺตํ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ทั้งหลาย เข้าไปสั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าปทุมะ เที่ยวบิณฑบาตไปในถนน มีใจเลื่อมใส บูชาด้วยดอกปรู. ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลอันมั่งคั่ง แคว้นโกศล ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่าอนูปโม เพราะสมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ ละกามทั้งหลาย บวชแล้วเพราะความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย กระทำกรรมในวิปัสสนา อยู่ในป่า จิตของท่านแล่นไปในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์เป็นต้นในภายนอก กรรมฐานก็หมุนเปลี่ยนแปลงไป. พระเถระเมื่อจะข่มจิตอันวิ่งไปอยู่ กล่าวเตือนตนด้วยคาถา ๒ คาถาเหล่านี้ความว่า จิตถึงความเพลิดเพลินเพราะธรรมใด ธรรมใดยกขึ้นสู่หลาว และจิตเป็นดังหลาว เป็นดังท่อนไม้ ขอท่านจงเว้นธรรมนั้นๆ ให้เด็ดขาด ดูก่อนจิต เรากล่าวธรรมนั้นว่า เป็นธรรมที่มีโทษ เรากล่าวธรรมนั้นว่า เป็นเครื่องประทุษร้ายจิต พระศาสดาที่ บุคคลหาได้โดยยาก ท่านก็ได้แล้ว ท่านอย่ามาชักชวนเรา ในทางฉิบหายเลย ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นนฺทมานาคตํ จิตฺตํ ความว่า จิตมาสู่ความเพลิดเพลิน ได้แก่จิตที่ยินดีเพลิดเพลินภพนั้นๆ แห่งตัณหาอันเป็นตัวเหตุแห่งความยินดีเพลิดเพลินในภพนั้นๆ มาถึงความยินดี ความเพลิดเพลิน จากภพนั้นไปสู่ภพนี้. บทว่า สูลมาโรปมานกํ ความว่า จิตอันกรรมกิเลสทั้งหลายยกขึ้นสู่ภพนั้นๆ อันชื่อว่าหลาว เพราะเป็นเช่นกับหลาว โดยฐานะเป็นที่เกิดแห่งทุกข์ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้. บทว่า เตน เตเนว วชสิ เยน สูลํ กลิงฺครํ ความว่า ภพกล่าวคือหลาว และกามคุณกล่าวคือท่อนไม้ อันได้นามว่าเขียงสำหรับสำเร็จโทษมีอยู่ในฐานะใดๆ ท่านจะดำเนินไป คือเข้าถึงฐานะนั้นๆ แหละด้วยบาปจิตนั้นๆ ทีเดียว ได้แก่ไม่กำหนดความฉิบหายของตน. บทว่า ตาหํ จิตฺตกลึ พฺรูมิ ความว่า เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวธรรมนั้นว่า เป็นโทษของจิต คือเป็นกาลกรรณีของจิต เพราะเป็นความประมาท คือเราจะกล่าว คือจะบอกซ้ำถึงธรรมนั้น ว่าเป็นเครื่องประทุษร้ายจิต คือบ่อนทำลายจิต เพราะนำมาซึ่งความฉิบหายแก่สันดานอันมีอุปการะมากแก่ตน กล่าวคือจิต. บางอาจารย์กล่าวว่า จิตฺตทุพฺภคา บ้าง หมายความว่า สภาพจิตที่ไม่มีบุญวาสนา (หรือ) จิตที่มีบุญน้อย. ถ้าจะมีผู้ถามว่า จะบอกว่าอย่างไร? ตอบว่า จะบอกว่า พระศาสดาที่บุคคลหาได้โดยยาก ท่านก็ได้แล้ว คือโลกว่างจากพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลาหลายกัปนับไม่ถ้วน แม้เมื่อพระศาสดาเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว สมบัติคือความเป็นมนุษย์ และการได้เฉพาะซึ่งศรัทธาเป็นต้น ก็ยังเป็นของที่หาได้ยากโดยแท้ และเมื่อได้สมบัติเหล่านั้นแล้ว แม้พระศาสดาก็ยังหาไม่ได้อยู่นั่นเอง พระศาสดาผู้ที่บุคคลหาได้อย่างนี้ ท่านได้แล้วในบัดนี้ เมื่อเราได้พระศาสดานั้นแล้ว ท่านอย่ามาชวนเราในอกุศลอันมีแต่โทษหาประโยชน์มิได้ในปัจจุบัน และนำความฉิบหาย นำความเดือดร้อนมาให้ในเวลาต่อไป. พระเถระเมื่อกล่าวสอนจิตของตนอยู่อย่างนี้นั่นแล เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- ในกาลนั้น พระสัมพุทธเจ้านามว่าปทุมะ อยู่ที่ภูเขาจิตตกูฏ เราได้เห็นพระสยัมภูพุทธเจ้านั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้า ขณะนั้น เราเห็นต้นปรูมีดอกบานจึงเลือกเก็บแล้ว เอามาบูชาพระชินสัมพุทธเจ้านามว่าปทุมะ. ในกัปที่ ๓๗ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเผากิเลสแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น