วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

โลกว่างเปล่าคหบดีชื่อนกุลบิดาได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยแล้วโดยลำดับ มีกายกระสับกระส่าย เจ็บป่วยเนือง ๆ พระพุทธเจ้าข้า ก็ข้าพระองค์มิได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุทั้งหลายผู้ให้เจริญใจอยู่เป็นนิตย์ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดสั่งสอนข้าพระองค์ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดพร่ำสอนข้าพระองค์ด้วยธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “นั่นถูกแล้ว ๆ คหบดี อันที่จริงกายนี้กระสับกระส่าย เป็นดังฟองไข่อันเปลือกหุ้มไว้ ดูก่อนคหบดี ก็บุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่พึงรับรองความเป็นผู้ไม่มีโรคได้แม้เพียงครู่เดียว จะมีอะไรเล่านอกจากความเป็นคนเขลา ดูก่อนคหบดี เพราะเหตุนั้นแหละท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย ดูก่อนคหบดี ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล” นกุลบิดาขอให้พระสารีบุตรอธิบายให้ฟัง พระสารีบุตรกล่าวว่า “ดูก่อนคหบดี ก็อย่างไรเล่าบุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายด้วย ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายด้วย ดูก่อนคหบดี คือปุถุชนในโลกนี้ผู้มิได้สดับย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ ย่อมเห็นรูปในตน ๑ ย่อมเห็นตนในรูป ๑ เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นรูป รูปของเรา เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นรูป รูปของเรา รูปนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะรูปแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิดขึ้น (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีนัยเดียวกัน) ดูก่อนคหบดี ด้วยเหตุอย่างนี้แลบุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย และเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย” “ดูก่อนคหบดี ก็อย่างไรเล่าบุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่ ดูก่อนคหบดี คืออริยสาวกในธรรมวินัยนี้ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมไม่เห็นรูปโดยความเป็นตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ๑ ย่อมไม่เห็นรูปในตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนในรูป ๑ ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นรูป รูปของเรา เมื่ออริยสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นรูป รูปของเรา รูปนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะรูปแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีนัยเดียวกัน) ดูก่อนคหบดี อย่างนี้แลบุคคลแม้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่” ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้แล้ว นกุลปิตุคหบดีชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตรฉะนี้แล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น