หากเรามองจาก ท้องฟ้า เราจะเห็น สิ่งที่เคลื่อนไหว ภายใต้ ของความคิดเรา ถ้าเรามองขึ้นไปจากใจเรา เราจะเห็น ทุกชีวิต กำลังดิ้นรน เพื่อ แสวงหา อาหาร เพื่อ หล่อเลี้ยง ชีวิตของตนเอง และ สิ่งที่ตนรัก และเป็นที่รัก ของตนเอง และแล้ว ทุกชีวิต ก็ พบว่า ความกระหายใคร่ ได้ ใคร่มี ใคร่เป็น หรือ ความทะยานอยาก นี่เอง ที่เป็นสาเหตุ ให้มนุษย์ ต้องเดินทางอยู่ ตลอดชีวิต ลองหยุดเดินทางด้วยยานพาหนะ แล้วหันมาเดินทาง ด้วยจิตวิญญาณ แล้วการ เดินทางไกล จะใกล้เข้าทุกขณะจิต หายใจเข้า ตามรู้ หายใจออก ตามรู้
วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560
ผู้ทรงพรต ภพคือการดิ้นรนทำงานของจิตอันแรก ทำอะไรไม่ถูก ทำความสงบไว้ อันที่สอง อย่ารู้เกินกายออกไป คอยรู้อยู่ในกาย รู้อยู่ในใจ อย่าลืมกาย อย่าลืมใจ อันที่สาม ฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ดู จิตไหลไปคิดรู้ทัน จิตไหลไปคิดรู้ทัน จิตจะเป็นผู้รู้ ผู้ดู พอจิตเป็นผู้รู้ ผู้ดู ธาตุขันธ์จะแยกออก กายอยู่ส่วนกาย จิตอยู่ส่วนจิต เวทนาอยู่ส่วนเวทนา จิตอยู่ส่วนจิต สังขารอยู่ส่วนสังขาร จิตอยู่ส่วนจิต แต่ถ้ามันไม่ยอมแยก ช่วยมันคิดพิจารณาเข้าไป พิจารณาลงไปเนี่ย อย่างที่หลวงพ่อไล่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ไม่ใช่จิต ไล่ขึ้นไล่ลงอยู่ในกาย ช่วยมันคิด คนไหนเคยเจริญปัญญามาแล้วนะ พอจิตถอนตัว เป็นผู้รู้ ผู้ดู ธาตุขันธ์จะแยกเอง กระจายเอง แต่คนไหนยังไม่ได้เจริญปัญญามาแต่ชาติปางก่อน ช่วยมันคิดพิจารณาให้มันแยกธาตุ แยกขันธ์ ให้เห็นเลย กายส่วนกาย จิตส่วนจิต เวทนาส่วนเวทนา ไม่ใช่กาย ไม่ใช่จิต สังขารส่วนสังขาร ไม่ใช่กาย ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่จิต ดูอย่างนี้ลงไป ในที่สุดจะแยกขันธ์ พอแยกขันธ์ออกไปแล้ว แต่ละขันธ์จะแสดงไตรลักษณ์เองนะ หลวงพ่อถนัดดูจิต ฉะนั้นมันมาดูที่จิต เห็นจิตแสดงไตรลักษณ์นะ มันก็ผ่านได้นะ บางคนไปเห็นกายแสดงไตรลักษณ์ ก็ผ่านได้เหมือนกันนะ ไม่มีนัยอะไรเลย ไม่มีความต่างเลยนะ ทางใครทางมันนะ ถาม: ขอความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยอธิบายเกี่ยวกับขบวนการของปฏิจจสมุปบาท ให้ฟังหน่อยค่ะ ภพภูมิต่างๆ ซ้อนกันอยู่เยอะแยะไปหมดเลย เต็มไปหมดเลย จำแนกกันด้วยกรรม ทำกรรมชนิดนี้ อยู่ในภพภูมิชนิดนี้ ทำกรรมชนิดนี้ อยู่ในภพภูมิชนิดนี้ อย่างพวกเราอยู่ในภพภูมิของมนุษย์ เราทำกรรมดีมา เราเคยถือศีล ๕ ในชาติใดชาติหนึ่ง แล้วมันเกิดผลขึ้นมานะ ให้ผลมาเป็นมนุษย์ นี้บางคนคุ้นเคยกับการถือศีล ๕ มา เป็นมนุษย์มีศีล บางคนนะเคยถือศีลนิดๆ หน่อยๆ แล้วมันให้ผลมาเป็นคน จิตใจยังคุ้นเคยกับความเป็นสัตว์บ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง อย่างนี้ก็มี มิติต่างๆ ซ้อนกันอย่างเต็มไปหมดเลย สิ่งที่ข้ามมิติได้คือจิตนะ เพราะจิตนี้เร็ว เร็วกว่าแสงอีก นักวิทยาศาสตร์พยายามจะข้ามมิติ ด้วยการผลิตยานที่เร็วกว่าแสง ยังทำไม่ได้นะ พระพุทธเจ้ารู้ว่า จิตนี้เร็วกว่าแสง ข้ามได้ อยากรู้ อยากเห็น ข้ามไป แต่ข้ามไปข้ามมานะ เที่ยวรู้เที่ยวเห็นไป ก็พบว่าที่ใดที่หนึ่ง ก็ทุกข์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ก็ทุกข์ทั้งสิ้น มีความเกิดทีไร ก็มีความทุกข์ทุกที มีความทุกข์ร่ำไป ในตอนพระพุทธเจ้า วันที่ตรัสรู้ ปฐมยาม ท่านระลึกชาติได้ ท่านรู้อดีต เกิดเป็นโน้น เกิดเป็นนี้ มีจริงๆ เกิดเป็นพญานาค เกิดเป็นโน้น เป็นนี้ มีจริงๆ ในยามที่สอง ท่านได้ จุตูปปาตญาณ ไม่ได้ดูตัวเองแล้วตอนนี้ ดูคนอื่น ก็เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้เองนะ ยามที่หนึ่ง ท่านเห็นตัวเอง เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ นั้นภพภูมิต่างๆ มันมีอยู่ เราไม่เห็นเอง ยามที่สอง ท่านเห็นคนอื่น เวียนตายเวียนเกิด อยู่ในภพภูมิต่างๆ นะ เสร็จแล้วท่านก็เห็นเลย เกิดทีไรก็เป็นทุกข์ทุกที ความเกิดนี้มาจากไหน? ท่านเห็นว่าเกิดทีไร ก็ทุกข์ทุกที มีชาติก็มีทุกข์ แล้วความเกิดมาจากไหน? มีภพ ก็มีชาติ ยามที่สาม นะ ท่านเริ่มมาสาวตรงนี้แล้ว ยามที่หนึ่ง ยามที่สอง ท่านเห็นแล้ว เกิดทีไรทุกข์ทุกที ไม่มีที่ไหนไม่ทุกข์ ความเกิดคือ การได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มา ก็ได้ทุกข์มาด้วย ชาติคือ ความได้มาซึ่ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาจากไหน? มาจากภพ ภพคืออะไร? ภพคือ...มีสองอัน อันหนึ่งเรียกว่า อุปัตติภพ ภพโดยการเกิด อย่างพวกเราเนี่ย มีอุปัตติภพ อุบัติ นะ ภาษาแขกเรียกว่าอุปัตติภพ มาเป็นมนุษย์ แต่ในอุปัตติภพยาวๆ อันหนึ่ง เรามีกรรมภพ มีภพชนิดหนึ่งเรียกว่า กรรมภพ ภพมีสองอย่างนะ อุปัตติภพ กับ กรรมภพ กรรมภพคือ การทำงานของใจ สังเกตมั้ย? จิตใจเราเดี๋ยวก็ปรุงดี เดี๋ยวก็ปรุงชั่ว กายของเราโดยอุปัตติภพเป็นมนุษย์ บางครั้งจิตของเราเป็นสัตว์นรก ท่านเลยเรียกว่า มนุษย์นรก มนุสสนิรโย โดยกำเนิดเราเป็นมนุษย์ แต่ภพที่จิตมันปรุงขึ้นเป็นขณะๆ อาจจะเป็นเปรต โลภ ขณะใดโลภ ขณะนั้นเป็นเปรต ขณะใดยึดถือแต่ความคิดความเห็นตัวเอง เป็นอสุรกาย นี้เป็นภพย่อยๆ ในอุปัตติภพใหญ่ๆนะ ภพย่อยๆนี่ คือ การทำงานของจิต ภพใหญ่ก็คือ สิ่งที่จิตไปปรุงขึ้นมา "กรรม" สร้างขึ้นมา ภพมาจากไหน? ภพมาจากอุปาทาน อุปาทานก็คือ ตัณหาที่แรงกล้า มีความอยากที่แรงกล้า จิตจะทำงาน จิตจะดิ้นรน อุปาทานคือ ตัณหาที่แรงกล้า มาจากไหน? มาจากตัณหาธรรมดา ท่านถึงบอกว่าตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานนะ ตัณหา อุปาทาน จริงๆ ก็คือ โลภะด้วยกันทั้งคู่ แต่ว่าดีกรีไม่เท่ากัน ตัณหามาจากไหน? มาจากเวทนา พอเรากระทบความสุข เราก็อยากได้ กระทบความทุกข์ เราก็อยากให้หายไป พอเกิดความอยาก จิตก็เกิดการดิ้นรน เรียกว่า ภพ พอดิ้นรน มันก็มีเราขึ้นมา มีกูขึ้นมา มีชาติขึ้นมา นี้จิตมันทำงานอย่างนี้นะ กระบวนการทำงานของมัน ค่อยๆเรียน ค่อยๆรู้ไปนะ พระพุทธเจ้าท่านสาวมาถึง ปฏิจจสมุปบาท นะ เห็นขบวนการทำงาน ของอะไร? ของรูปธรรม นามธรรม นะ ปฏิจจสมุปบาท มี ๑๒ ขั้นตอน ทั้ง ๑๒ ขั้นตอนก็ล้วนแต่ รูปธรรม นามธรรม นั่นแหละ ท่านเห็นรูปธรรม นามธรรม หนีไม่พ้นการเห็นรูปนามนะ รู้ไป ท่านเห็นตนเอง เกิดๆ ตายๆ เห็นคนอื่น เกิดๆ ตายๆ รู้ว่าเวียนตายเวียนเกิด มีแต่ทุกข์ มีชาติก็มีทุกข์นะ ยามสุดท้าย ท่านมาสาวเอาเลย มาจากไหน ต้นตอของความทุกข์? มีความอยากก็มีความทุกข์ ความอยากมาจากเวทนา ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกเฉยๆ เวทนามาจากไหน? มาจากผัสสะ การกระทบอารมณ์ ตามองเห็น เห็นสาวสวย เกิดความสุข เห็นหมาบ้า เกิดความทุกข์นะ อาศัยผัสสะ ก็เกิดเวทนา ผัสสะเกิดได้อย่างไร? เกิดได้เพราะมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอายตนะ ถ้าไม่มีตา ก็มองไม่เห็น ไม่มีการกระทบอารมณ์ทางตา ไม่มีหู ก็ไม่ได้ยินเสียง ไม่กระทบอารมณ์ทางหู ไม่ได้ยินเสียง ไม่มีใจ ก็ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง ไม่กระทบอารมณ์ทางใจ งั้นอาศัยอายตนะนั่นเอง ทำให้มีผัสสะได้นะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีขึ้นมาได้เพราะอะไร? เพราะมีรูปธรรม นามธรรม ฉะนั้นนามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ สังเกตดู ตาเรามองเห็นได้เพราะอะไร? เพราะรูปกับนาม มีจักษุประสาท มีเส้นประสาทตา มีจอรับภาพ มีเลนส์ อะไรอย่างนี้ มีประสาทรับ มีวัตถุ มีรูป มีแสงที่เข้ามากระทบตา นี่ก็เป็นรูป เป็นวัตถุ มีนามธรรม คือความรู้สึกทางตาเกิดขึ้น นี่เป็นนาม เห็นมั้ย? ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานขึ้นมาได้ ก็เพราะมีรูปนาม ฉะนั้นนามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาได้อย่างไร? มาได้เพราะมีนามรูป นามรูปมาได้อย่างไร? ยากมั้ย? ไม่ยากหรอก นามรูปมาได้เพราะวิญญาณนี้หยั่งลง ตอนนี้สุดยากแล้วนะ เข้าจุดที่ยากแล้วนะ ยากนิดเดียวแหละ ง่ายๆ มาตั้งเยอะแล้ว ๑๒ ขั้นตอน มียากอยู่ ๓ ขั้นตอนเนี่ยแหละ สุดๆเลย ภาวนากันปางตาย กว่าจะเห็น วิญญาณหยั่งลงไปนะ นามรูปถึงปรากฎขึ้น ถ้าไม่มีความรับรู้ เกิดขึ้นนะ ความรู้สึกว่ามีกายก็ไม่มี ความรู้สึกนึกคิดต่างๆก็ไม่มี อาศัยความรับรู้เกิดขึ้น ร่างกายก็มีอยู่ ความรับรู้ ความรู้สึกนึกคิดทางใจก็เกิดขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีความรับรู้เลย ไม่มีวิญญาณ นามรูปก็ไม่ปรากฎ มีรูปอยู่มั้ย? มี แต่ไม่ปรากฎนะ นั้นท่านถึงบอกว่าวิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป อะไรเป็นปัจจัยของความรับรู้ ของวิญญาณ? ตัวนี้ยาก เดี๋ยวมียากอีกคือ อะไรเป็นปัจจัยของสังขาร? สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดความรับรู้ วิญญาณ สังขารคือ ความปรุง ความปรุงมีหลายอย่าง ความปรุงชั่ว ความปรุงดี ความปรุงไม่ดีไม่ชั่วนะ ตัวนี้อธิบายยากแล้ว พูดโดยภาษาโดยปริยัติมันก็อธิบายได้ แต่จะให้พวกเราเห็นตามนี้ยากแล้ว อย่างที่หลวงพ่อพูดมาทีแรก นึกออกมั้ย? มันพอเห็นตามได้ตามลำดับๆ ทวนมา สังขารคือความปรุงเกิดขึ้น ทำให้เกิดวิญญาณ ต้องภาวนา ภาวนาเห็น ในภาวะอันหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลยนะ ไม่มีอะไรเลยนะ ความปรุงแต่งเกิดขึ้นมา ในความไม่มีอะไรเลย พอความปรุงแต่งเกิดขึ้นมา แสงสว่างอันหนึ่งเกิดขึ้น แสงสว่างนี้คือ เป็นความรับรู้นะ ความรับรู้ พอถึงละเอียดลงไป เป็นแสงสว่าง หรือจิตนั่นเอง แสดงตัวออกมา สว่างออกมาจากความไม่มีอะไร แสงสว่างนี้กระทบเข้ากับรูปธรรม รูปธรรมก็ปรากฎ กระทบเข้ากับนามธรรม นามธรรมก็ปรากฎ นี้ต้องภาวนานะ ถึงจะเห็นจริงๆ ความปรุงอันนี้เกิดขึ้นมาได้นะ ปรุงดี ปรุงชั่ว เกิดขึ้นแล้วก็ มันสว่างขึ้นมา วิญญาณมันหยั่งลงในรูปในนามได้ อาศัยความปรุงมันเกิดขึ้น ความปรุงมาจากไหน? ทั้งๆที่เดิมไม่มีอะไรเลย ความปรุงมาจากอวิชชา ความไม่รู้ของจิตในเรื่องอริยสัจ ความไม่รู้ของจิต ความโง่ของจิต ความโง่ของจิตตัวนี้ พวกเรามีมาตั้งแต่เกิด มีอยู่แล้ว ทุกคนเกิดมาด้วยความโง่ เกิดมาด้วยความไม่รู้ เพราะไม่รู้ถึงเกิดมา เพราะความไม่รู้ จิตถึงปรุง ถ้าเมื่อไหร่รู้แจ้งอริยสัจ ความไม่รู้แจ้งอริยสัจนั่นแหละ อวิชชา เมื่อไหร่รู้แจ้งอริยสัจ จิตจะพ้นจากความปรุงแต่ง หลังจากนั้นความปรุงแต่งมีมั้ย? มี เพราะว่าสังขารขันธ์ยังมีอยู่ ขันธ์ทำหน้าที่ของขันธ์นะ ปรุงนะ แต่ไม่ปรุงจิต ความปรุงแต่งมีอยู่ แต่ไม่ปรุงจิต ขันธ์ทำหน้าที่ของแต่ละขันธ์ ที่หลวงพ่อบอกให้พวกเราแยกธาตุ แยกขันธ์นะ แล้วดูไป แต่ละขันธ์ทำหน้าที่ของตนเอง สังขารไม่เข้ามาปรุงจิต ความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนไม่มี สัญญาไม่เข้าไปหมายว่า จิตมีตัวมีตนด้วยนะ เวทนาทำหน้าที่ของเวทนา รูปก็ทำหน้าที่ของรูป จิตก็ทำหน้าที่ของจิต ต่างคนต่างทำหน้าที่ไม่ก้าวก่ายกัน อันนี้มันเป็นสภาวะที่พระอรหันต์ท่านดำรงอยู่ ขันธ์ท่านทำงาน ไม่ใช่ไม่มีขันธ์นะ ขันธ์มี พระอรหันต์มีปีติได้มั้ย? มีได้ มีความสังเวชได้มั้ย? สังเวชได้ มีธรรมสังเวชได้นะ เช่นเวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอรหันต์มีธรรมสังเวช เป็นไปได้มั้ย? ที่บางองค์จะน้ำตาไหล เป็นไปได้ แต่ไม่ได้ไหลเพราะโทมนัส คนละเรื่องนะ บางทีเราไปตีความตื้นเกินไป ห้ามน้ำตาไหล น้ำตาเป็นรูปนะ จิตมันมีธรรมสังเวชขึ้นมา มันก็เรื่องของมันนะ เราไปกะเกณฑ์อะไรที่เกินธรรมชาติ ธรรมดามากไปนะ เทศน์ยากไปมั้ย? เอาอะไรดี ต่ออะไรดีล่ะ ถึงอวิชชาจะเอาอะไรอีก มันก็จบที่อวิชชานี่แหละ เพราะอวิชชามีอยู่นะ ความปรุงแต่ง ก็มีอยู่ เพราะความปรุงแต่งมีอยู่ วิญญาณ ความรับรู้อารมณ์ ก็มีอยู่ ตัวนี้เป็นความรับรู้ทางใจ ความรับรู้ทางใจอันนี้ พอมันกระทบเข้ากับรูปธรรม รูปธรรมก็ปรากฎ กระทบเข้ากับนามธรรม นามธรรมก็ปรากฎ มีรูปมีนาม แต่จิตยังไม่เข้าไปยึดถือ เกิดขึ้นมาเฉยๆ เป็นวิบากเฉยๆ เป็นขันธ์วิบากเฉยๆ มีรูป มีนาม แล้วก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานขึ้นมาได้ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานได้ ก็มีการกระทบอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ พอกระทบอารมณ์ก็เกิดความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกเฉยๆ ขึ้นได้ พอมีรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ ขึ้นได้ ความอยากก็ตามมา มีความสุขก็อยากให้มันอยู่นานๆ มีความทุกข์ก็อยากให้มันหายไปนะ ความอยากเกิดขึ้น ความยึดถือ ความอยากที่รุนแรงขึ้น ก็จะแรงขึ้น แรงขึ้น ถ้ารู้ไม่ทัน มันจะแรงขึ้น ในที่สุดมันจะกระโจนขึ้นไปยึดอารมณ์นะ จิตจะเกิดความดิ้นรน ปรุงแต่ง เกิดการทำงาน การดิ้นรน ปรุงแต่ง ทำงานของจิตเรียกว่า ภพ เรียกว่า กรรมภพ มีภพขึ้นมานะ มีการเข้าไปหยิบฉวยเอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมา ว่านี่คือตัวเรา นี่คือเรา นี่คือเรา นี่คือชาติ ชาติคือความเกิด คือความได้มาซึ่ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอยู่แล้วใช่มั้ย? เราเพิ่งไปตะครุบมันมา เพราะมีตัณหานี่เองใช่มั้ย นั้นคนละอันกันนะ นั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีอยู่แล้ว แต่เดิมนั้น ยังไม่เป็นชาติหรอก ยังไม่เป็นเรานะ เป็นสมบัติของโลกอยู่ แต่พอมีกิเลส ตัณหาขึ้นมา ก็ไปหยิบฉวย ไปคว้าขึ้นมา เป็นของเราขึ้นมาแล้ว เป็นชาติ ฉะนั้นร่างกายนี้ แต่เดิมก็เป็นร่างกายอยู่อย่างนี้ พอเกิดความดิ้นรนทางใจขึ้นมา นี่คือร่างกายเราขึ้นมา มีชาติ เป็นของเราขึ้นมา เป็นของเราขึ้นมา ก็เท่ากับไปแบกความทุกข์เข้ามาไว้ มีชาติก็มีทุกข์ เพราะอะไร? เพราะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือรูปนามนั่นแหละคือ ตัวทุกข์ การที่โดดเข้าไปหยิบฉวยเอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาเป็นของเราขึ้นมา ก็คือไปหยิบเอาตัวทุกข์ขึ้นมา ไปหยิบงูเห่าขึ้นมากอดนั่นเองนะ นี่คือขบวนการที่เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" สวนสันติธรรม วันเข้าพรรษา ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๓
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น