หากเรามองจาก ท้องฟ้า เราจะเห็น สิ่งที่เคลื่อนไหว ภายใต้ ของความคิดเรา ถ้าเรามองขึ้นไปจากใจเรา เราจะเห็น ทุกชีวิต กำลังดิ้นรน เพื่อ แสวงหา อาหาร เพื่อ หล่อเลี้ยง ชีวิตของตนเอง และ สิ่งที่ตนรัก และเป็นที่รัก ของตนเอง และแล้ว ทุกชีวิต ก็ พบว่า ความกระหายใคร่ ได้ ใคร่มี ใคร่เป็น หรือ ความทะยานอยาก นี่เอง ที่เป็นสาเหตุ ให้มนุษย์ ต้องเดินทางอยู่ ตลอดชีวิต ลองหยุดเดินทางด้วยยานพาหนะ แล้วหันมาเดินทาง ด้วยจิตวิญญาณ แล้วการ เดินทางไกล จะใกล้เข้าทุกขณะจิต หายใจเข้า ตามรู้ หายใจออก ตามรู้
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
ถ้ำสุกรขาตาถ้ำสุกรขาตา (ถ้ำพระสารีบุตร) ตั้งอยู่ ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย สถานที่พระสารีบุตรบรรลุเป็นพระอรหันต์ ผู้หมดกิเลสาสวะโดยสิ้นเชิง ในตอนกลางวันของวันมาฆบูชา วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หลังจาก “พระสารีบุตร” พระธรรมเสนาบดี อุปสมบทได้ ๑๕ วัน วันมาฆบูชา (วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หรือเดือน ๔ ในปีที่มีอธิกมาส) เป็นวันที่บังเกิดขึ้นของพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นกำลังในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านผู้นั้นก็คือ “พระอุปติสสะ” ซึ่งต่อมาเพื่อนสหธัมมิก (พระภิกษุ) ด้วยกันเรียกขานในนามว่า “พระสารีบุตร” ในตอนกลางวันของวันนั้น พระพุทธองค์ประทับเข้าสมาธิอยู่ ณ “ถ้ำสุกรขาตา” (ถ้ำหมูขุดหรือถ้ำคางหมู) เชิงเขาคิชฌกูฏ เมืองราชคฤห์ มีพระสารีบุตรคอยถวายงานพัดอยู่ด้วย ทีฆนขปริพาชก (นักบวชเล็บยาว) ซึ่งเป็นหลานพระสารีบุตร กำลังตามหาพระพี่ชาย มาพบอยู่กับพระพุทธเจ้า ทีฆนขปริพาชกไม่ค่อยจะให้ความสำคัญแก่พระพุทธองค์มากนัก จึงพูดแบบหยิ่งผยองว่า “ข้าพเจ้าไม่เชื่อทิฐิ (ความเห็น) ใดๆ” พูดพลางลุกเดินไปมา พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า “ถึงอย่างไรเธอก็มีทิฐิอยู่นั้นเอง” ทีฆนขปริพาชกพูดอีกว่า “ข้าพเจ้าไม่เชื่อทฤษฎีใดๆ” พระพุทธองค์ตรัสว่า “การที่เธอไม่เชื่อทฤษฎีใดๆ นั่นแหละเป็นความเชื่อของเธอล่ะ” ได้ยินดังนั้น ทีฆนขปริพาชกสะดุดถึงกับนั่งลง อาการหยิ่งผยองค่อยๆ หายไป พระพุทธองค์จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่เรียกว่า “เวทนาปริคคหสูตร” (พระสูตรว่าด้วยการกำหนดเวทนา) ให้ฟัง “พระสารีบุตร” นั่งเบื้องพระปฤษฎางค์ (เบื้องหลัง) ถวายงานพัดพระพุทธองค์อยู่ เงี่ยโสตสดับกระแสพระธรรมเทศนาไปด้วย เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบ ทีฆนขปริพาชก นักบวชเล็บยาว หลานของท่านก็ได้บรรลุโสดาบัน แต่ตัวท่านพระสารีบุตรได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสาสวะโดยสิ้นเชิง เนื่องจากการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดของ “พระสารีบุตร” เกิดขึ้นในวันเพ็ญมาฆปุณณมี หรือวันเพ็ญเดือน ๓ ณ ถ้ำสุกรขาตา ดังนั้น “วันมาฆบูชา” จึงถือว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่บุคคลสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาประสบความสำเร็จในธรรมขั้นสูงสุด รวมทั้งเป็นวันเดียวกับวันประชุมกันเป็นพิเศษแห่งพระอรหันตสาวกจำนวน ๑,๒๕๐ รูป โดยมิได้มีการนัดหมาย ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร นั้นเอง เมื่อโปรดทีฆนขปริพาชก นักบวชเล็บยาวแล้ว พระพุทธองค์ทรงเสด็จกลับวัดเวฬุวันมหาวิหาร (วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาที่พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งแคว้นมคธ สร้างถวายให้เป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ และภิกษุสงฆ์) พร้อมกับพระสารีบุตรซึ่งบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ในค่ำคืนของวันนั้น (๑) เป็นวันเพ็ญ เดือนมาฆะ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (๒) พระสงฆ์สาวกจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่วัดเวฬุวันมหาวิหารโดยมิได้นัดหมาย (๓) พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ทรงอภิญญา ๖ (๔) พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ ผู้ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า...พระพุทธองค์ทรงเห็นปรากฏการณ์พิเศษนี้ จึงทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์” (คำสอนที่เป็นหัวใจหรือแก่นของพระพุทธศาสนา) แก่ที่ประชุมสงฆ์ นับเป็นที่ประชุมอันประกอบด้วยเหตุการณ์อัศจรรย์ที่มาบรรจบกัน ๔ ประการ จึงเรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” ผู้ที่มาเติมเต็มความสมบูรณ์ของกองทัพธรรม ก็คือ “พระสารีบุตร” ซึ่งเมื่อท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ถือได้ว่า “พระธรรมเสนาบดี” ได้บังเกิดขึ้น ดุจขุนพลแก้วบังเกิดแล้วแก่พระเจ้าจักรพรรดิ โดยท่านจะเป็นหัวเรือใหญ่รับสนองนโยบายภารกิจนี้โดยตรง พระพุทธองค์จึงทรงทำการประชุมมหาสาวกสันนิบาตทันทีในวันเดียวกันนั้นเอง โดยมิได้นัดหมายล่วงหน้า เพราะทรงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่กองทัพธรรมจะต้องเร่งรุดขยายให้ได้กว้างไกลที่สุด ฉะนั้น จำต้องมีทิศทางและยุทธศาสตร์ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงได้ทรงประทาน “โอวาทปาติโมกข์” เพื่อไว้ใช้เป็นแม่บทในการประกาศพระศาสนา รูปภาพ รูปภาพ :b8: ขอขอบพระคุณสำหรับที่มาของรูปภาพ http://www.painaima.com/webboard/viewTopic.php?id=1129 :: วันมาฆบูชา (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=19792 :: รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “วันมาฆบูชา” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=45501 :b39: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39377 ..................................................... ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว โพสที่ยังไม่ได้อ่าน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น