วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2563

เกิดมามีบุญ ได้มาพบพระพุทธศาสนา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ#กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาหลวงพ่อและท่านอาจารย์มากครับที่กรุณาให้โอกาสครับ #เราภาวนาจนเห็นว่าทุกอย่างชั่วคราวสุขทุกข์ดีชั่วทั้งหลายชั่วคราวทั้งหมดตรงนี้แหละใจจะเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่างตัวนี้แหละคือสิ่งเรียกว่าสังขารุเบกขาญาน#จิตมีปัญญานะเป็นกลางกับความปรุงแต่งทั้งหลายสุขทกข์ดีชั่วทั้งหลายนี่จิตเป็นกลางหมดเลยเพราะอะไรเพราะปัญญาไม่ใช่กลางเพราะการเพ่ง ไม่ใช่เป็นกลางเพราะกำหนดนะกำหนดแล้วเป็นกลางนี่ยังไม่ใช่ ตัวนี้ต้องเป็นกลางเพราะปัญญาถ้าเราตามรู้จิตใจของเราทุกวันๆ เราจะเห็นเลยความสุขอยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย ความทุกข์อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายโลภ โกรธ หลง อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายกุศลอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไปถ้าตามดูอย่างนี้นานๆไปนะจิตมันยอมรับความจริงว่า สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ความสุขเกิดขึ้นจิตไม่หลงระเริงความทุกข์เกิดขึ้นจิตไม่กลุ้มใจจิตมันจะเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไปรู้เข้า จิตที่มันเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่างนี่นะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญนี่เป็นคือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล พอมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่ปรุงแต่งต่ออย่างถ้ามันไม่เป็นกลาง มันจะปรุงแต่งต่อ เช่น ความโกรธเกิดขึ้นอยากให้หาย ก็ต้องหาทางทำให้หาย เห็นมั้ยปรุงแต่งต่อล่ะ ความสุขเกิดขึ้นอยากให้อยู่นานๆ ต้องหาทางรักษา นี่ปรุงแต่งต่อมีการทำงาน แต่ถ้ามันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ จิตจะพ้นจากความปรุงแต่ง ตามรู้ตามดูจนมันพอ สติ สมาธิ ปัญญาแก่รอบ จิตใจยอมรับความจริง ยอมรับไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ถึงจุดนี้เนี่ย มันจะเป็นรอยแยก พวกที่หวังพุทธภูมินะ ก็มีโอกาสจะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พยากรณ์จากหมอดูนะ ต้องพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พวกที่ไม่ได้หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์แต่หวังความพ้นทุกข์นะ จิตมีโอกาสที่จะเกิดมรรคผลได้ /|\ /|\ /|\#เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้นจิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิเพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ยสัมมาสมาธิท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิด้วยฌาน๔พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่าเจริญบุพพภาคมรรคเบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะเราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิดจิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะจิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผลจะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดาที่เรียกว่ากามาวจรจิตกามาวจรภูมิไม่เป็นอย่างนั้นนะต้องเข้าฌานนะเมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็นสภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะแต่ละคนไม่เท่ากัน นะถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ถูกอริยมรรคแหวกออกไปแล้วก็มันจะไปเห็นนิพพาน นะนิพพานไม่ใช่ว่างเปล่านิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่งพวกเรายังไม่เคยเห็นเราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง ข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่งพวกนี้พวกสัสตะทิฐิ มีของที่เที่ยงคงที่อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลยขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลยกระทั่งสติพวกนี้หลงไปล่ะคิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลยนี่พวกอุจเฉททิฐินะนิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับสภาวะของนิพพานคือสันติคือความสงบนั่นเองสงบจากอะไรสงบจากกิเลสสงบจากอะไรสงบจากความปรุงแต่งสงบจากอะไรสงบจากการแบกหามขันธ์นะดังนั้นเราภาวนานะ

#กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาหลวงพ่อและท่านอาจารย์มากครับที่กรุณาให้โอกาสครับ

#เราภาวนาจนเห็นว่าทุกอย่างชั่วคราวสุขทุกข์ดีชั่วทั้งหลายชั่วคราวทั้งหมดตรงนี้แหละใจจะเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่างตัวนี้แหละคือสิ่งเรียกว่าสังขารุเบกขาญาน#จิตมีปัญญานะเป็นกลางกับความปรุงแต่งทั้งหลายสุขทกข์ดีชั่วทั้งหลายนี่จิตเป็นกลางหมดเลยเพราะอะไรเพราะปัญญาไม่ใช่กลางเพราะการเพ่ง ไม่ใช่เป็นกลางเพราะกำหนดนะกำหนดแล้วเป็นกลางนี่ยังไม่ใช่ ตัวนี้ต้องเป็นกลางเพราะปัญญาถ้าเราตามรู้จิตใจของเราทุกวันๆ เราจะเห็นเลยความสุขอยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย ความทุกข์อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายโลภ โกรธ หลง อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายกุศลอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไปถ้าตามดูอย่างนี้นานๆไปนะจิตมันยอมรับความจริงว่า
สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ความสุขเกิดขึ้นจิตไม่หลงระเริงความทุกข์เกิดขึ้นจิตไม่กลุ้มใจจิตมันจะเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไปรู้เข้า จิตที่มันเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่างนี่นะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญนี่เป็นคือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล พอมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่ปรุงแต่งต่ออย่างถ้ามันไม่เป็นกลาง มันจะปรุงแต่งต่อ เช่น ความโกรธเกิดขึ้นอยากให้หาย ก็ต้องหาทางทำให้หาย เห็นมั้ยปรุงแต่งต่อล่ะ
ความสุขเกิดขึ้นอยากให้อยู่นานๆ ต้องหาทางรักษา นี่ปรุงแต่งต่อมีการทำงาน แต่ถ้ามันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ จิตจะพ้นจากความปรุงแต่ง ตามรู้ตามดูจนมันพอ สติ สมาธิ ปัญญาแก่รอบ จิตใจยอมรับความจริง ยอมรับไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ถึงจุดนี้เนี่ย มันจะเป็นรอยแยก พวกที่หวังพุทธภูมินะ ก็มีโอกาสจะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พยากรณ์จากหมอดูนะ ต้องพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พวกที่ไม่ได้หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์แต่หวังความพ้นทุกข์นะ จิตมีโอกาสที่จะเกิดมรรคผลได้
/|\ /|\ /|\
#เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้นจิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิเพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ยสัมมาสมาธิท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิด้วยฌาน๔พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่าเจริญบุพพภาคมรรคเบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะเราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิดจิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะจิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผลจะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดาที่เรียกว่ากามาวจรจิตกามาวจรภูมิไม่เป็นอย่างนั้นนะต้องเข้าฌานนะเมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็นสภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะแต่ละคนไม่เท่ากัน นะถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ถูกอริยมรรคแหวกออกไปแล้วก็มันจะไปเห็นนิพพาน
นะนิพพานไม่ใช่ว่างเปล่านิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่งพวกเรายังไม่เคยเห็นเราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง ข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่งพวกนี้พวกสัสตะทิฐิ มีของที่เที่ยงคงที่อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลยขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลยกระทั่งสติพวกนี้หลงไปล่ะคิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลยนี่พวกอุจเฉททิฐินะนิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับสภาวะของนิพพานคือสันติคือความสงบนั่นเองสงบจากอะไรสงบจากกิเลสสงบจากอะไรสงบจากความปรุงแต่งสงบจากอะไรสงบจากการแบกหามขันธ์นะดังนั้นเราภาวนานะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น